สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ คอร์สโบนัส กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าแบบไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงคอร์สนี้นะครับ
ในคอร์ส 5 สูตรลับสร้างฐานลูกค้าจากออนไลน์ แบบไม่ต้องเปลืองค่าโฆษณา เราได้คุยกันถึงวิธีที่จะทำให้คุณประหยัดค่าโฆษณา แต่ยังสร้างลูกค้าจากออนไลน์ได้เพิ่มขึ้นกันไป
ซึ่งในคอร์สก่อนนั้น มีสิ่งที่คุณต้องรู้อยู่ 3 เรื่อง ได้แก่
- การสื่อสารกับลูกค้าผ่านกรวยการขาย (Sales Funnel) เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในแต่ละขั้น ซึ่งจะช่วยให้การโฆษณาของคุณได้ผลมากขึ้น
- การติดตามเพื่อฟูมฟักว่าที่ลูกค้าเพื่อเปลี่ยนให้พวกเขากลายมาเป็นลูกค้า (Lead Nurturing) ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นแต่ประหยัดค่าโฆษณา
- กลยุทธ์การขายซ้ำให้กับฐานแฟน เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากกว่าต้นทุนในการหาลูกค้า วิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ในระยะยาว
สำหรับในคอร์สโบนัสนี้ ยังมีอีก 1 กลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณได้ลูกค้ามาแบบฟรี ๆ โดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าโฆษณาเลย
สิ่งที่ผมอยากจะให้คุณเข้าใจก่อนจะเข้าสู่เนื้อหามีดังนี้
- กลยุทธ์นี้ไม่ใช่การหาลูกค้าจากการ Spam หรือใช้การโพสต์แบบ Organic
- กลยุทธ์นี้คุณยังคงต้องทำการโฆษณาอยู่ และ ต้องมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
- กลยุทธ์ไม่ใช่การทำเรื่องที่ผิดกฎของ Platform แต่อย่างใด
จาก 3 สิ่งที่ผมบอกไว้เพื่อจะบอกคุณว่า กลยุทธ์นี้ไม่ใช่การเขียนให้เว่อร์ หรือ เพื่อโฆษณาหลอกลวงให้คุณมาเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่ทำได้จริง
ซึ่งคุณต้องนำไปประยุกต์กับธุรกิจของคุณเอง เหมือนกับที่ผมเองพอเข้าใจกลยุทธ์นี้ ผมก็นำมาประยุกต์กับธุรกิจของผมเช่นกัน
ถ้าคุณเข้าใจแล้วเรามาดูกันต่อเลยครับว่า…กลยุทธ์นี้เราต้องรู้อะไรบ้าง
ทำความเข้าใจกลยุทธ์กันก่อน
โดยปกติเวลาเจ้าของธุรกิจจะทำ แคปเปญโฆษณา ก็จะคิดแยกเป็นรายสินค้า แล้วประมาณการว่า โฆษณานี้จะสร้างยอดขายเท่าไร และวางต้นทุนไว้ที่เท่าไร ถูกไหมครับ ซึ่งภาพจะออกมาแบบนี้
จากภาพยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ
เริ่มต้น ทำแคมเปญโฆษณาสินค้าชิ้นที่ 1 ไป 50,000 บาท ขายได้ 300,000 บาท
ต่อมา ทำแคมเปญโฆษณาสินค้าชิ้นที่ 2 ไป 30,000 บาท ขายได้ 180,000 บาท
สุดท้าย ทำแคมเปญโฆษณาสินค้าชิ้นที่ 3 ไป 20,000 บาท ขายได้ 120,000 บาท
รวมยอดขาย 600,000 บาท ต้นทุนค่าโฆษณา 100,000 บาท (คิดเป็น 16.67%)
ถ้าคุณควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี หรือ มีการเพิ่มยอดขายต่อในแบบกลยุทธ์ขายซ้ำให้กับฐานแฟน ต้นทุนค่าโฆษณาของคุณก็จะลดลง (แต่ก็ยังมีต้นทุนอยู่ดี)
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐาน ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด วิธีนี้ไม่ว่าเราจะขายอะไร ค่าโฆษณาจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุน ที่กินอัตรากำไรของเราเสมอ
วิธีใหม่ที่ดีกว่า
จากภาพนี้ผมจะอธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ได้ดังนี้
ในขั้นแรกที่เราทำแคมเปญโฆษณา ให้เราวางสินค้าที่ราคาต่ำ ๆ (100-500 บาท) และ มีต้นทุนน้อยมาก ๆ หรือ ไม่ต้องมีต้นทุนในการผลิตเลยยิ่งดี เช่น e-book, Online Course, Podcast, Service บางอย่าง, สินค้าชิ้นเล็ก ๆ
ในสินค้าชิ้นที่ 1 นี้จะเป็นสินค้าเปิดใจ ให้กับลูกค้าใหม่ได้เข้ามาทดลองใช้ มาสัมผัสกับสินค้าหรือบริการของเรา สาเหตุที่ราคาต้องต่ำ แต่อัตรากำไรเยอะ นั่นก็เพราะ เพื่อเป็นสินค้าที่เราจะใช้ในการจ่ายค่าโฆษณาให้กับเรา
เมื่อสินค้าชิ้นนี้มีอัตรากำไรที่ครอบคลุมต้นทุนในการหาลูกค้า 1 คน ของธุรกิจเราได้ นั่นแปลว่า การขายสินค้าชิ้นต่อ ๆ ไปของเราจะไม่มีต้นทุนในการโฆษณาเข้ามาเกี่ยวข้อง
จากภาพ เราจะเห็นว่า สินค้าเปิดใจชิ้นแรก ที่ราคาต่ำ อัตรากำไรสูง ทำให้เรามีกำไรเหลือ พอไปจ่ายค่าโฆษณา
จากภาพตัวอย่าง
ค่าโฆษณา 10,000 บาท ยอดขายสินค้าชิ้นที่ 1 : 100 คน x 200 บาท เท่ากับ 20,000 บาท
ต้นทุนสินค้าอยู่ที่ 50% (รวมทุกอย่าง) จึงทำให้เหลือกำไร 10,000 บาท (เท่ากับค่าโฆษณาพอดี)
ถึงแม้จะดูเป็นการขายเหมือนกัน แต่จะเห็นว่า เราได้ลูกค้ามาถึง 100 คน ที่มีโอกาสจะสนใจสินค้าของเราในขั้นต่อไป
และเราสามารถติดตามให้เขามาซื้อสินค้าต่อในขั้นต่อไปได้ เพราะ เขาเคยซื้อหรือใช้บริการบางอย่างจากเราแล้ว
ส่วนที่สำคัญ ก็คือ สินค้าในขั้นถัดไปที่เราขายได้ จะเป็นกำไรทั้งหมด ไม่มีค่าโฆษณาเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว
3 สิ่งที่คุณต้องเตรียมถ้าจะใช้กลยุทธ์นี้
1.สินค้าหลายขั้น : แต่ละขั้นแบ่งตามราคา (คุณค่า) ของสินค้า จาก ราคาต่ำ ราคาปานกลาง ราคาสูง (จะมีกี่ชิ้นก็ได้)
2.สำหรับสินค้าราคาต่ำสุด แนะนำให้ต้องมี อัตรากำไรที่สูง (Margin สูง) เช่น สินค้าที่เป็นข้อมูล e-book/Online Course หรือ การบริการบางอย่างจากธุรกิจเรา
3.Platform สำหรับเก็บข้อมูลลูกค้า/ว่าที่ลูกค้า ที่ใช้ต้นทุนในการติดตามต่ำ ติดตามได้ง่ายเช่น Line, Email, List รายชื่อ, FB Group, FB Messenger, Line OA เป็นต้น
ยกตัวอย่างจากธุรกิจจริง
ในธุรกิจอาหารสำหรับผู้ป่วยของผม ซึ่งอย่างที่คุณรู้ว่าต้นทุนในการผลิตสูงมาก แถมยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดส่งและโฆษณาอีก ทำให้ถ้าทำแบบมาตรฐาน สำหรับคนที่มีเงินทุนน้อยอย่างผมคงเจ๊งอย่างแน่นอน
ในเมื่อสินค้าที่เป็นขนมของผม เป็นสินค้าราคาต่ำ (แต่อัตรากำไรก็ต่ำ) และ คอร์สอาหารผู้ป่วย เป็นสินค้าราคาสูง (อัตรากำไรต่ำ)
ถ้าวางแค่ 2 อย่างนี้ในขั้นของสินค้า จะทำได้แค่การลดค่าใช้จ่ายค่าโฆษณาเท่านั้น ตามตัวอย่างในเนื้อหาบทสุดท้ายของคอร์สก่อนหน้า
ดังนั้นสิ่งที่ผมทำคือ การเพิ่มสินค้าเปิดใจลูกค้ามาอีก 1 ขั้น ก่อนสินค้าขนม และ คอร์สอาหาร
ในตอนนั้นผมเลือกการจัดงานสัมมนา ที่เก็บค่าเข้าเพียง 500 บาท แต่เป็นงานสัมมนาที่มีประโยชน์และคุณค่าสูงมากระดับงานหลัก 5,000 บาท
โดยผมไม่ได้คิดเอากำไรจากงานนี้ เพียงแต่ให้พอมีกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายเพียงพอต่อต้นทุนทั้งหมด และรวมถึงค่าโฆษณา เพราะ สิ่งที่ผมต้องการ คือ ลูกค้าที่ได้มาแบบฟรี ๆ (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
สิ่งที่ผมได้คือ มีคนมางาน 100 คน และ ผมสามารถขายสินค้าอย่าง ขนม และ คอร์สอาหาร ได้ โดยที่ต้นทุนในการหาลูกค้าของธุรกิจผมเท่ากับ 0 เพราะ ค่าสัมมนา และ จำนวนคนที่มาได้จ่ายไปหมดแล้ว
และผมยังเก็บรายชื่อลูกค้า เพื่อง่ายต่อการติดต่อผ่าน Line เพื่อทำการขายซ้ำให้กับฐานแฟนเดิม อีกด้วย
ตัวอย่างธุรกิจอื่นที่ใช้ได้
ธุรกิจที่สินค้าเป็นข้อมูล
อย่าง ที่ปรึกษา เทรนเนอร์ ฝึกอบรม คอร์สสัมมนา อื่น ๆ คุณสามารถทำ คอร์สสัมนนาที่ราคาต่ำ ๆ หรือ e-book ราคาต่ำ ๆ แต่คุณค่าสูง ๆ มาเป็นสินค้าชิ้นที่ 1 ที่จ่ายค่าโฆษณาให้กับคุณได้
เท่ากับว่าคุณก็จะได้ลูกค้ามาฟรี ๆ และลูกค้าจะได้ทดลองใช้ หรือ รับรู้ด้วยว่า เขาเหมาะที่จะเรียนกับคุณไหม
ผมเองก็ทำแบบนี้กับธุรกิจสินค้าที่เป็นข้อมูลของผมเช่นกัน
ธุรกิจบริการ (ยกตัวอย่าง การนวดเพื่อสุขภาพ)
คุณอาจจะเริ่มจาก การเช็คสุขภาพฟรี หรือ การนวดแบบราคาถูก (แต่คุณค่าสูง) เพื่อสร้างลูกค้าแบบฟรี ๆ
และหลังจากนั้นคุณจึงเสนอ การดูแลเฉพาะจุด ตามปัญหาที่ลูกค้าเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งคุณจะคิดราคาได้สูงขึ้นจากเดิม
สุดท้ายคุณอาจมีคอร์สดูแลสุขภาพแบบต่อเนื่อง โดยดูแลทั้งโภชนาการและการนวดให้กับลูกค้า แต่ละคน เป็นต้น
ซึ่งภาพบันไดคุณค่าที่ได้จะเป็นดังนี้
สรุป
- ในสินค้าขั้นแรก ที่ราคาต่ำ เราจะเน้นให้คุณค่าสูง เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้จัก และ ชื่นชอบ เราได้เร็วและมากขึ้น
- สินค้าชิ้นแรกนั้น เราจะไม่โฟกัสที่กำไรสูง แต่เน้นไปที่การจ่ายค่าโฆษณาให้กับธุรกิจเรา
- ยิ่งสินค้าราคาต่ำ คุณค่าสูง และ อัตรากำไรสูง จะทำให้ลูกค้ามาทดลองใช้มาก แปลว่า คุณจะได้ลูกค้ามาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวนมาก
- การติดตามเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้าชิ้นถัดไปเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
- เมื่อใช้กลยุทธ์นี้แล้ว ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในขั้นถัดไป ธุรกิจเราจะไม่มีต้นทุนในการหาลูกค้าอีกแล้ว ดังนั้น ผมแนะนำคุณให้ตั้งราคาให้เหมาะสม ให้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวังเสมอ
ขอบคุณที่ติดตามและอ่านมาถึงเนื้อหาโบนัสนะครับ สิ่งสำคัญของกลยุทธ์นี้ คือ การที่คุณนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณ ถ้านำไปใช้แล้วเกิดผลลัพธ์อย่างไร แชทมาบอกผมบ้างนะครับ
ถ้าหากคุณมีข้อสงสัยหรือคำถาม อยากได้คำปรึกษา ก็แชทมาได้เช่นกัน ผมยินดีตอบเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ เติบโตตามที่ตั้งใจไว้นะครับ 😊
สวัสดีครับ ผมชื่อ โดม เป็นผู้ก่อตั้งเพจ เริ่มน้อยให้ได้ล้าน และ beyond1miliion.com ที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นการรวบรวมเอาแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการสร้างธุรกิจในโลกออนไลน์ของผมกว่า 10 ปี เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจและขยายธุรกิจบนโลกออนไลน์ได้แบบเหนื่อยน้อย แต่ได้ผลมาก กดอ่านเพิ่มเติม